Tuesday, May 31, 2011

ก่อนโลกจะแตกในปี 2011


ชอบชนบทนอกเมืองพม่าในปี 2011 ไม่รู้เหมือนกันว่าโลกจะแตกตอนไหน เมื่อเช้าก็มีข่าวเรื่องปฏิทินคำทำนายโลกแตกของเผ่ามายาโปราณแว่วมาจากผู้สื่อข่าวหน้าตี๋ร่างอวบขึ้นมาเป็นประเด็นอีกครั้งหนึ่งว่าคงจะเป็นวันที่ 31 ธันวาคมปีนี้ ผู้สื่อข่าวหน้าตี๋ร่างอวบที่ว่านี่คงอยากให้ผู้รับสารมีวิจารณญาน ฝึกการคิดพิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผลอีกครั้งหนึ่งละกระมัง ฉันหยิบภาพนี้มาดูเป็นภาพที่ชอบมากอีกภาพหนึงจากบรรยากาศที่สัมผัส เหมือนกับเมืองไทยเมื่อยี่สิบปีมาแล้วที่ฉันชอบและนึกถึงมาตลอด ตลอดทางที่ผ่านมาฉันนั่งรถอยู่กับปัจจุบันในประเทศอื่นที่มิใช่ดินแดนที่เกิดตามแผนที่ แต่มีความสุขเหมือนเมื่อก่อนขณะนั้นฉันคิดว่าว่าเป็นช่วงวันที่มีความสุขที่สุขแล้ว เรียกกลับมาไม่ได้ก็จริง แต่นึกถึงได้ มองภาพนี้อีกครั้งพร้อมกับปิดโทรทัศน์อำลารายการข่าวสารและปกิณกะสาระทดสอบรอยหยักในสมองในเช้าของวันนี้ เพื่อเตรียมตัวไปที่ทำงาน แต่ความคิดถึงยังอยู่ที่อดีต ประหวัดนึกไปว่าถ้าเป็นเหมือนพิธีการอวบหน้าตี๋พูดจริงก็คงพร้อมใจ

Monday, May 23, 2011

สุเลยกสอง






สุเลพญา ในสายตาของคนไทยไม่รู้ว่าอ่านจากใครมา และเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าช่างคล้ายกับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเสียเหลือเกิน ย่านนี้เป็นอีกแหล่งที่สามารถหาเกสลเฮาส์ราคาประหยัดได้ ตึกรามบ้านช่องนอกจากเป็นสถานที่ราชการแล้ว ล้วนแต่เป็นตึกเก่า ๆ สวยงามน่าถ่ายรูปทั้งสิ้น เสียดายอยู่บ้างที่สีฟ้าไม่สดและไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไหร่ในช่วงนี้ ประตูเข้าสุเลมีได้หลายทิศ ก่อนหน้านี้เคยอ่านเจอว่าสามารถเข้าชมได้ฟรี ปี 2011 กลางปีที่เราได้เยี่ยมสุเล จะต้องจ่ายค่าเข้าชม 2 US จ้า รู้สึกว่าจะเป็นราคามาตราฐานนะนี่
เดินชมความงาม และชักจะคุ้นตากับภาพการสงน้ำพระประจำวันเกิด สดุดตาที่สุดในสุเลคือ รูปนัต ที่ได้ลงรูปไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะนัตนี้พบได้เฉพาะที่นี้ ไม่เจอะเจอในเจดีย์หรือวัดอื่นอีกตลอดทริป เทวรูปเป็นอีกศิลปหนึ่งที่ชอบมองเป็นอย่างยิ่ง เพราะชุดเครื่องทรงที่สวยรูปแบบที่ซ้ำตา และรายละเอียดที่ไม่ซ้ำกัน

Sula จากภาพเห็น





Friday, May 20, 2011

ก่อนจะถึง Sula

เมืองย่างกุ้ง เป็นเมืองหลวงของพม่าตั้งแต่ช่วงอังกฤษยึดครอง เนื่องจากเป็นเมืองท่าการเทียบเรือขนส่งสินค้ายุทธโธปกรณ์ในสมัยนั้นสะดวกสำหรับอังกฤษ คำว่าย่างกุ้งแปลว่าชนะศัตรู ปราบได้ราบคาบ พม่าเองใช้เมืองมัณฑเลย์ทางตอนเหนือเป็นเมืองหลวง เมื่อพม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษทั้งประเทศพม่ายังใช้เมืองย่างกุ้งเป็นเมืองหลวงต่อไป สำเนียงเรียกของอังกฤษจึงเป็นร่างกุ้ง ต่อมานายพลเนวินเปลี่ยนชื่อเรียกกลับมาเป็นย่างกุ้ง อีกครั้ง รัฐบาลพม่าได้เปลี่ยนเมืองหลวงใหม่มาเป็น เนปีดอ (Naypyidaw)ตั้งแต่ปี 48
ปัจจุบันย่างกุ้งจึงนับว่าเป็นเมืองหลวงเก่า
เจดีสุเล เป็นศูนย์กลางของเมืองย่างกุ้ง
ข้อมูลบางส่วนได้มาจากข้อมูลของ บริษัททัวร์ กัสโต้ เวิลด์ ทัวร์ จำกัด
พระเจดีย์สุเล (SULE PAGODA) ชาวพม่าถือว่าเป็นพระเจดีย์ทองที่สวยที่สุดในพม่า และเป็นศูนย์กลางของกรุงย่างกุ้งเนื่องจากในช่วงเวลาที่อังกฤษใช้ย่างกุ้งเป็นศูนย์ศูนย์กลางการปกครองพม่า ใน ฐานะเมืองขึ้น ได้มีการพัฒนากรุงย่างกุ้งโดยสร้างถนนหนทางตามระบบ “ Block System ”โดยใช้สุเลเจดีย์เป็นจุดเริ่มต้นสร้างถนนสายหลักพุ่งออกไปทุกทิศทาง รอบ ๆ สุเลเจดีย์จึงเป็นที่ตั้งสถานที่ราชการ ศาลยุติธรรม ศาลาว่าการกรุงย่างกุ้ง และกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ มาจนถึงปัจจุบัน

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีพระนิพนธ์ว่า ชาวพม่าเรียกสุเลเจดีย์ว่า “ชเวสุเล” (Shwe Sule) หมายถึง “ จุลเจดีย์ทองคำ ” เพราะคำว่า “สุเล” เพี้ยนมาจาก “จุละ” คือเป็นเจดีย์ทององค์เล็ก ประดิษฐานเคียงข้าง “เชเวดากอง” ซึ่งเป็น “มหาเจดีย์” หรือเจดีย์ทององค์ใหญ่ สุเลเจดีย์เป็นพุทธศิลป์แบบพระสถูปแปดเหลี่ยม ที่มีทรวดทรงงดงาม ชาวพม่าถือ สุเลเจดีย์เป็น “หัวใจ” ของเมืองหลวงย่างกุ้ง ส่วนเจดีย์ชเวดากองเป็น “หัวใจ” ของชนชาติพม่าทั้งมวล อย่างไรก็ตาม ดร.สุเนตร ชุติณธรานนท์ ผู้เชี่ยวชาญพม่าศึกษา ให้ข้อมูลว่า “สุเล” เป็นชื่อของ “นัต” หรือภูติผีวิญญาณ 1ใน 37 ตนที่ชาวพม่านับถือคู่เคียงกับพุทธศาสนา เนื่องจากเป็น “นัต” ที่ช่วยปกป้องคุ้มครองแผ่นดินพม่าไว้ ตามตำนานแล้ว สุเลเป็นยักษ์ตนหนึ่งที่สักการะบูชาและเชื่อฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า และนำทางนายวานิชสองพี่น้องให้นำพระเกศาพระพุทธเจ้ามาบรรจุในเจดีย์ชเวดากอง ชาวพม่าจึงสร้างสุเลเจดีย์ขึ้นเป็นอนุสรณ์สถานแด่คุณความดีของยักษ์สุเล ซึ่งถือเป็นนัตตนหนึ่งในจิตวิญญาณของชนชาติพม่า


--------------------------------------------------------------------------------

ร้านSuZuki






ชื่อเต็ม Suzuki Drink and Thai Food
มิได้ค่าโฆษณาใด ใดทั้งสิ้น เป็นร้านอาหารที่พวกเราตัดสินใจเลือกหลังจากมีเงิน Ks อยู่ในมือ เนื่องเพราะเหตุผลแรกเป็นร้านที่อยู่ในระยะเดินจากตึกซากุระตรงไปสุเล ผ่านแนวร้านรวงต่าง ๆ ผ่านโรงหนัง และสะดุดตากับคำว่าอาหารไทย เนื่องจากพี่จิ๊บเป็นคนเห็นว่ามีเมนูเขียนเป็นตัวหนังสือไทยอยู่หน้าร้าน โอเค คนไทยรักชาติ ขณะที่พวกเราเดินเข้ามาเลยเที่ยงเกือบเป็นเวลาบ่ายโมงของนาฬิกาไทย ที่นั่งจึงหาไม่อยากนัก เพราะตัวร้านค่อนข้างแคบตกแต่งในแนวศิลป์นิดหน่อย เดิมคงตั้งใจเป็นร้านเครื่องดื่มมีกาแฟสด SuZukiขาย แต่ไม่ได้ลองสั่ง และฝนงานภาพถ่ายภาพวาดใส่กรอบบ้าง ใส่ซองบ้างประดับร้านอยู่ประปราย ป้ายเขียนข้อความว่า for sale ถามราคากันได้
เมนูในร้านสำหรับอาหารจานเดียวและกับข้าวมีไม่มากนัก มื้อนี้สั่งกะเพราหมู และผัดหมี่ ของพี่ดลลี่ ส่วนเครื่องดื่มน้ำเปล่า และน้ำส้มยี่ห้อสตาร์ หรือโคล่าแล้วชักไม่แนใจ
ระหว่างรอเห็นโต๊ะอื่นมีคนสั่งส้มตำมากิน ฮื่มฮ่ืม ฮ่าฮ่า และบางโต๊ะมีคนมานั่งซดเบียร์เย็น ๆ อาหารอีกอย่างซึ่งเป็นเมนูประจำและมีชื่อทับศัพท์เรียกเป็นชื่อไทยว่าข้าวขาหมู เห็นหาหมูวางนึ่งในหม้อพร้อมใบคะน้าเช่นเดียวกับเมืองไทย สั่งเมนูนี้ก็มีใข่อยู่ในข้าวขาหมู เหมือนกัน
อาหารที่พวกเราสั่งทำให้พ่อครัวต้องปิดประตูสับหมูและคงกันกลิ่นมารบกวนด้วย สักครูเดียวเราก็ได้กระเพาะหมู ไข่ดาว ข้าวเปล่าเสริฟมาพร้อมรับประทานได้เลย ที่นี้ขาดอยู่ก็เป็นน้ำปลา แต่รสชาติผัดกระเพราะทดแทนได้ เลยไม่มีใครเรียกร้องน้ำปลามาเหยาะไข่ดาวเลย
หมี่ผัดของพี่ดลลี่ ก็ดูหน้าตาดีน่ากิน และก็หมดจานทุกอย่าง
ร้านนี้วันมื้อหลังก่อนกลับก็เป็นร้านที่พวกเราแวะมาอีกครั้งพร้อมสั่งเมนูเดิมกัยอีกรอบ ยกเว้นพี่ดลลี่

ตึกซากุระ





ตึกซากุระ
เป็นเป้าหมายต่อไปเพื่อการแลกเปลี่ยนเงินดอลล่าเป็นเงินจ๊าดเท็กซี่เห็นเราเป็นชาวต่างชาติ ที่ลุงยินดีให้ข้อมูลเรื่องสถานที่เป็นอย่างยิ่งขับไปถึงจุดไหนลุงก็จะบอกถึงตึกที่เห็นข้างหน้าไม่ขาดปาก แล้วแต่ว่าผู้โดยสารจะจับใจความได้กี่มากน้อย ลุง taxi จากวัดโปตาถ่องจึงเป็น taxi คันแรกของพวกเราในพม่าเช่นกัน ตึกซากุระ และHitashi คือตกเดียวกัน เดินมั่นใจเข้าไปข้างในจะพบเห็นบริษัทรับจองตั๋วเครื่องบินและรับแลกเงิน ก่อนหน้านี้ที่วัดโปตาถ่องเผอิญ เจอกับทัวร์ไทย ไกด์ที่บรรยายเป็นไกด์พม่าพูดไทยคล่อง มีน้องเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเพิ่งจบจากสวนดุสิตและเพิ่งทำงาน และเพิ่งมาพม่าครั้งแรกเช่นกัน อุตสาห์ให้ข้อมูลเรื่องแลกเงินมาว่า ทริปของน้องเขาไปแลกธนาคารแม้ว่าอัตราจะต่ำหน่อยแต่ก็โอเค ถูกกฏหมาย และกำชับกำชาไม่ให้ไปแลกเงินกะเอกชนทั่วไปเพราะเป็นการผิดกกหมาย
บริษัทให้อัตรา 1 ดอลล่าคือ 820 หรือ 850 ไม่แน่ใจนัก เพราะไม่ได้เก็บตัวเลข ทั้งสี่คนรวมกันแลกเงินมา 200 ดอลล่า และก็เป็นการแลกครั้งเดียวในทริปนี้ จากที่กะว่าเอาไว้ก่อน ไม่พอค่อทยอยและ การแลกเงินในพม่าต้องวางแผนพอสมควร กิตติศัพท์ที่ทุกคนได้ยินมาคือพม่าจะไม่รับเงินยับ ๆ (แต่แบงค์ของพม่าเองเปื่อยมาก) และอัตราแลกเปลี่ยนจะต่างกัน เมื่อแลกในวงเงินจำนวนน้อย อัตราจะไม่ดีเท่าแลกในวงเงินมาก
การแลกเงินครั้งนี้พวกเรานับเงินจ๊าดที่ได้เป็นธนบัตรใบละพันจ๊าดทุกใบ

โปตาถ่องตอน 4






ริมฝั่งแม่น้ำย่างกุ้ง
ถ่ายรูปเก็บตกกันแทบจะไม่หมดสำหรับวัดนี้ วันแรก จุดแรก
วัดโบตาถ่องอยู่ไม่ห่างจากแม่น้ำย่างกุ้ง ริ้มฝั่งมีเรือโดยสาร เรือขนส่งสินค้า และผู้คนทั้งมาทำงาน และนั่งเล่นกระจัดกระจาย โกดังข้างในมีตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ ริมทางเป็นที่ขายของ แผงอาหาร ที่เดินเชื่อมต่อมาจากวัด เห็นสองหนุ่มน้อยนั่งกินขนมจีนแบบพม่าอยู่ด้วยกันยามเที่ยง แอบเก็บภาพเด็กเส้นของพม่าทั้งสองคนนิดหน่อย และเราก็เริ่มต้องหาทางไปแลกเงินซะแล้ว หมู่คณะคงเริ่มหิวเหมือนกัน พี่จิ๊บตาดีเช่นเคยเห็น taxi จอดอยู่บริเวณนั้น เราไปถามไถ่ราคาและถามเรื่องรับเงินดอลล่าไหม คุณลุง taxi ตอบตกลงจะพาไปตึกซากุระที่ต้องการให้นะครับท่าน ในราคา 3 หรือ 2 ดอลล่า ไม่แน่ใจนัก

โปตาถ่องตอน 3








พระพุทธรูปนันอู เทพทันใจ เทพกระซิบ และรูปเคารพในวัด
พระพุทธรูปนันอู เป็นพระพุทธรูปที่เคยถูกเคลื่อนย้ายไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์อังกฤษ สมัยพม่าตกเป็นอาณานิคม และภายหลังกลับคืนมาพม่ารวมเวลา 66 ปี ที่ถูกเคลื่อนย้ายไปจากดินแดนพม่า
เทพทันใจ เป็นเทพที่มีประชาชนนิยมไปสักการะขอพร คนไทยเชื่อว่าจะได้ทันใจเหมือนชื่อ
เทพกระซิบ/ เทพี ไม่แน่ใจนัก ว่ากันว่าต้องไปขอพรข้างหู
และรูปเคารพสักการะอื่น ๆ ในวัดโปตาถ่อง
หลังจากเคารพสักการะแล้วมีอีกจุดที่ต้องเดินไปเยื่อมให้ได้ในบริเวณนี้ คือแม่น้ำย่างกุ้ง

Thursday, May 19, 2011

โปตาถ่องตอน2






ยังไม่ได้เข้าไปในโปตาถ่อง มัวแต่ดูอยู่รอบ ๆ นอกซะก่อน เจดีย์แห่งนี้สร้างบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า เพื่อให้คนทั่วไปได้มาสักการะ ในครั้งพุทธกาลพ่อค้าชาวเมืองได้เดินทางไปค้าขายในเขตชมพูทวีป ซึ่งเป็นระยะเวลาหลังจากที่พระพุทธเจ้าเพิ่งตรัสรู้และอยู่ในระหว่างเสวยวิมุติสุข พ่อค้าทั้งสองคนเกิดความเลื่อมใสเลยถวายข้าวมัธุปายาต (ยังไม่เช็คความเขียนผิด) และถวายตัวเป็นอุบาสก พระพุทธองคืได้ประทานเส้นพระเกสา แปดเส้นให้แก่พ่อค้าทั้งคู่ เมื่อเดินทางกลับมาเจ้าเมืองจึงจัดทหารไปรอต้อนรับและทำพิธี จึงมีการสร้างเจดีย์ครอบพระเกศาธาตุไว้ พระเกศาธาตุนั้นแบ่งให้พญานาคไปสองเส้นก่อนเดินทางมาถึง แต่พบว่าหลังจากนั้นเกิดเพิ่มจำนวนเป็นแปดเส้นดังเดิม
หลังจากผ่านประตูจะเห็นโถงทางเข้าซึ่งเป็นจุดที่งดงามมาก เกือบทุกวัดในพม่าจะออกเป็นและก่อสร้างให้เกิดความรู้สึกมีพลังดึงดูดให้เดินเข้าไป ในวัดโปตาถ่องก็เป็นโถงทางเข้าที่สวยงามเช่นกัน เดินตรงไปจะเห็นจุดที่ทำเป็นช่องให้มองเห็นและสักการะพระเกศาธาตุ
ในตัวเจดีย์ออกเป็นเป็นซอก เครื่องไม้ลงรักปิดทอง ช่างฝีมือกำลังลงรักและปิดทองบางจุดอยู่พอดี ส่วนที่เป็นหลีบก็จะมีพระภิกษุ และผู้ที่ศรัทธาในทางศาสนานั่งสมาธิและสวดมนต์หันหน้าเข้าหามุมสงบ

ถ้าเดินวนซ้าไปเรื่อย ๆ ก็จะออกมาเจอกับจุดเดิม ครวนี้จะต้องเลือกไปซ้ายหรือขวาดี
เดินซ้ายก่อน ก็จะมาเจอกับด้านนอกของเจดีย์ ชึ่งเป็นลานและส่วนชิดเจดีย์มีพระประจำวันเกิดให้พุทธศาสนิกชนได้สรงน้ำตามวันเกิด พระวันเกิดจะมีสัตว์ประจำวันอยู่ด้วยซึ่งชาวไทยไม่คุ้นนัก สำหรับคนเกิดวันเสาร์ มีพญานาค แต่คนเกิดวันพุธ จะแบ่งเป็นพุธกลางวันหนูหางสั้น พุธกลางคืนหนูหางยาว หรือช้างแบบมีงา กะช้างไม่มีงา ซึ่งจะเขียนอีกครั้งในเรื่องพระประจำวัน
ถัดไปทางด้านซ้ายจะมีบ่อเต่า และมีจุดจำหน่ายผักบุ้งเป็นอาหารเต่าในบ่อ แน่นอนว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่าไปเลย สำหรับผักบุ้งเต่า สุดของสะพานที่สร้างยื่นออกไปเป็นที่ประดิษฐานของเทพเรียงราย ที่พม่าจะมีเทพทันไจ เป็นเทพประจำทุกวัด ซึ่งก็ทำบุญและขอพรกันได้
เหล่าอาคารก่อสร้างอื่น ๆ ในวัดส่วนใหญ่จะเป็นศาลาและมีพระพุทธรูปสร้างทุกศาลา พื้นที่วัดกว้างเหมาะแก่การพักผ่อน เดินเล่นและฝึกจิตใจได้ดี ชาวพม่านิยมเข้าวัดทำบุญ และจัดเตรียมอาหารมากินในวัด

โปตาถ่อง







หลังจากเข้าโรงแรมชำระล้างหน้าแล้วก็ได้แผนที่อันเดียว แต่ว่าเอามาหลาย copy หยิบจากโรงแรม นี่แหละ ตั้งมั่นและตั้งใจว่าจะเดินสำรวจดูรอบ ๆ ให้พอรู้ทิศทางว่าอะไรเป็นอะไร ฮ่าฮ่า แล้วก็สิคะ เพราะถนนพม่ากะในแผนที่ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเลย ไม่เป็นไร หลงแล้วก็ได้พบธรรม เนื่องจากที่พักไม่ห่างจากวัดโปตาถ่องมากนัก จึงใช้เวลาในจุดแรกเชิญชวนชมวัดนี้ก็แล้วกัน
โปตาแปลว่าทหาร ถ่องแปลว่าพัน โบตาถ่องแปลว่าทหาร 1 พัน
วัดนี้อยู่ใกล้กับแม่น้ำย่างกุ้ง นักท่องเที่ยวต้องจ่ายค่าเข้าชม และค่ากล้องถ่่ายรูป กล้องวีดีโอ ค่าเข้าชมจำไม่ได้ราคาค่ากล้อง แต่ราค่าเข้าชมคนละ 2 ดอลล่าห์ ซึ่งตอนนี้เราไม่มีเงินจ๊าดเลย ดีดี ชมเถอะอย่าคิดมาก
บริเวณนี้เราเที่ยวถามเขาไปทั่ว ว่าแลกเงินมีไหมคะ คำตอบที่ได้ ไม่มีจ้า
จุดนี้เป็นที่แรกที่เราต้องเรียนรู้เรื่องการฝากรองเท้้าก่อนเข้าชม คุณลุงเจ้าหน้าที่ใจดี อนุญาติให้รองเท้าต่างชาติวางไว้ในป้อมนี้ได้ ส่วนอีกฝั่งเป็นจุดรับฝากรองเท้าสำหรับคนในพื้นที่ ซึ่งสามารถพูดจาภาษาพม่ารู้เรื่องเท่านั้น
รอบ ๆ บริเวณวัดคึกคักไปด้วยการทำมาค้าขาย ตั้งแต่ของกิน ของเล่นสำหรับเด็ก และเครื่องทำบุญ เห็นจะสดุดตาเป็นพิเศษที่กล้วย และมะพร้าว มะพร้าวบางลูกปิดทองตกแต่งอร่ามมาก และพวงมาลัยธูปเทียนต่าง ๆ ที่ใช้ไหว้พระตามธรรมเนียมพุทธ พวงมาลัยที่ขาดมีทั้งดอกมะลิ ดอกพิกุล และโกลเด้นฟลาวเวอร์ ซึ่งมีกลิ่นหอมทั้งสิ้น ชุดดอกบัวทำบุญก้คล้าย ๆ กันมีธูปเทียนให้ราคาที่ 200-500 จ๊าด

ที่พักในพม่า2011



เนื่องจากไม่มีเวลาในการหาข้อมูลเท่าที่ควรต้องขอบคุณพี่ดลลี่ซึ่งเป็นฝ่ายประสานงาน
หลังจากเช้าที่มาถึงพวกเรามีรถของทางโรงแรมมารอรับ ซึ่งก็ดีไม่น้อยกับสภาพที่ป้ายข้อมูลต่าง ๆ ในการเดินทางเป็นภาษาพม่า แผนที่ในสนามบินซึ่งนักท่องเที่ยวจะสามารถหยิบฉวยได้มีน้อยมาก
เดินไปไม่ไกลนักก็เห็นรถโรงแรมที่ว่า และเราก็มุ่งหน้าสู่ที่พักเพื่อเก็บสัมมภาระ เอาให้เจอที่นอนคืนนี้กันก่อน ใช้เวลาจากสนามบินถึงที่พักประมาณ 45 นาที ดูทุกสิ่งอย่างรอบ ๆ รถอย่างสบายตาเพราะไม่มีกระจกคอยกั้นบังตา ถนนหนทางในย่างกุ้งร่มรื่นมาก มีต้นสักขนาดกลาง ๆ ใบเขียวเรียงรายไปทั่ว
รถเท็กซี่ รถประจำทาง และรถจักรยานมีให้เห็นได้ตลอดเส้นทาง แต่เป็นที่หารถมอเตอร์ไซด์ได้ไม่มากนัก สิ่งที่สะดุดตาอีกอย่างสำหรับย่างกุ้งคือความสูงของตึกที่เรียกว่าสูงมองคอตั้ง สูงมากจริง ๆ ซึ่งก็มีทั้งตึกสไตล์เก่า และตึกแบบใหม่ แต่ความสูงของตึกใหม่และตึกเก่าก็จัดว่าสูง ส่วนบ้านเดี่ยวชั้นเดียว หรือสองชั้นพบเห็นได้น้อยมาก
โอเชี่ยน เพอร์ Ocean pearl Inn เป็นที่พักสำหรับคืนนี้ พี่ดลบอกว่าจองมาที่ราคา 10 ดอลล่าต่อคนพร้อมรถไปรับ ลำดับแรกแค่คืนเดียวก่อนด้วยความตั้งใจจะเดินหาที่พักอื่นอีกครั้ง ทำตามขั้นตอนกรอกรายละเอียดให้ทางโรงแรมและรับกุญแจไปได้อย่างไม่มากพิธี ห้องรอบนี้เป็นห้องชั้นสี่ เตียงคู่ สุขสบายดีห้องน้ำในตัวน้ำร้อนน้ำเย็น แถมน้ำอุ่น ที่ปรับอาบได้ และมีแอร์คอนดิชั้น ตู้เย็น ทีวี ที่นี่มีคำโฆษณาว่า สะอาด ปลอดภัย และใช้ไฟได้ทั้งคืน


พม่า 2011






เที่ยวพม่าครั้งแรกในปี 2011 หลังจากทำพลาสปอร์ตเรียบร้อยมาแล้ว
ก่อนไปเจอะเจองานหนักแบบลืมหูลืมตาแทบไม่ขึ้น คิดว่าตัดใจจะไม่ไปซะแล้ว กลั้นใจไปมากสำหรับรอบนี้เพราะหวาดกลัวกองงานมหึมาที่ทิ้งเอาไว้ข้างหลัง หลังจากที่ออกจากบ้านเดินทางมาถึงกรุงเทพ ตามประสาคนต่างจังหวัด ออกจากบ้านตอน 09.00 น. แต่กว่ารถทัวร์จะออกมาเจอผู้โดยสารได้เป็นเวลา 11.00 น. เนื่องจากวันนี้เป็นวันดี 13 พ.ค. วันแรกนาขวัญ คนแต่งงานเยอะเนาะ รถต้องหลบให้งานแต่งเขาก่อน หน้านี้เป็นหน้าฝนตลอดทางมีฝนพร่ำๆ และก็ถึงกรุงเทพจนได้ พักสักนิดก็ตื่นตั้งแต่ตีสามยามเช้าตรู่เพื่อไปสนามบินสุวรรณภูมิ กับสายการบินแอร์เอเชีย ซึ่งมีเที่ยวบิน 07.00 น.
คราวนี้เครื่องเล่นอันใหม่ หรือระบบเช็คอินแบบใหม่ที่เจอในรอบนี้เรียกว่า self check in ลองดูสักหน่อยไม่เสียหาย โดยการป้อนโค้ทจอง และจะมีการเช็คอินในเรียบร้อยก่อนเดินเอาของไปโหลดเคาทเตอร์ ผลการใช้ระบบนี้รอบนี้ที่นั่งเลยเป็น 10ที่แรก ฮ่าฮ่า นานๆ จะได้สักแบบเดินน้อยนี่ ชอบชอบ
เวลาเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิถึงย่างกุ้ง 1 ชั่งโมง และเวลาที่พม่าเร็วกว่าเรา ครึ่งชั่วโมง
สนามบินพม่าสร้างใหม่ สะอาด และก็เป็นระเบียบดีมาก ห้องน้ำห้องท่าเป็นระบบเชนเชอร์จับสัญญานและมีน้ำไหลอัตโนมัติ โอโห้ เอาสี เอาสิ สะดวกสบายจนคนไทยอย่างฉันแอบเฉิ่มและเชยได้อีก